У нас вы можете посмотреть бесплатно Ep.7 ธรนมเพื่อการพ้นทุกข์ или скачать в максимальном доступном качестве, видео которое было загружено на ютуб. Для загрузки выберите вариант из формы ниже:
Если кнопки скачивания не
загрузились
НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием видео, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу
страницы.
Спасибо за использование сервиса ClipSaver.ru
#ความละเอียดตามลำดับการภาวนา สภาพธรรมทุกอย่าง (รูปธรรม+นามธรรม) มีธรรมชาติแห่งความเกิด-ดับอยู่แล้วโดยปกติ แต่เพราะเรา “ไม่เห็น” ธรรมชาตินั้น จิตจึงถูก “ความไม่รู้” ปิดบังให้ “เห็นผิด” มาโดยตลอด จึงเกิดการหลงยึดสิ่งที่เกิด-ดับนั้นว่ามี “ตัวตน” อย่างแท้จริง “ทุกข์” จึงมีขึ้นตามแรงยึดนั้นๆ . พระโสดาบันได้ทำลายความเห็นผิดอันนั้น จึงเกิดปัญญารู้แจ้งรูปธรรมกับนามธรรมนั้นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของใครผู้ใดเลย จึงเกิดมี “ญาณทัสสนะ” อันบริสุทธิ์ กระทำพระนิพพานให้แจ้งกับจิต เกิดมีองค์ธรรมรองรับในจิตว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดล้วนดับไปเป็นธรรมดา” นี่คือการเห็นความเกิด-ดับที่สมบูรณ์แบบ เรียกว่า “ทิฏฐิสัมปันโน” แปลว่า “ผู้มีความเห็นอันสมบูรณ์แบบ” . อารมณ์ ผัสสะ ธาตุ ขันธ์ อายตนะ เหล่านี้ไม่ใช่กิเลส จัดเป็นทุกขสัจจ์ที่จะต้องกำหนดรู้ เช่น ความโกรธ ความรัก ความชัง ความพอใจ ความเสียใจ ความฟุ้งซ่าน ความบีบคั้นทางจิต เป็นต้น” . อารมณ์ก่อตัวมาจาก “สุขเวทนาและทุกขเวทนา” แม้เวทนาเหล่านี้ก็ “ไม่ใช่กิเลส” ประสบสุขเวทนาก็เกิดอารมณ์ที่ “ดี” ประสบกับทุกขเวทนาก็เกิดอารมณ์ที่ “ไม่ดี” . เวทนามีมูลเหตุมาจาก “ผัสสะ” ซึ่งเป็นจุดตกกระทบระหว่างอายตนะภายในกับภายนอก แม้ผัสสะและอายตนะเหล่านี้ก็ไม่ใช่กิเลส . คำถามก็คือ กิเลสเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? . ให้ทำความเข้าใจดังนี้ว่า เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ในขณะที่ผัสสะเกิดกิเลสจึงเกิดขึ้น อารมณ์ ผัสสะ ธาตุ ขันธ์ อายตนะ จึงกลายเป็นกิเลสไป การเห็นความเกิด-ดับด้วยกิจของอริยสัจ ๔ จึงเป็นการเข้าไปแก้ไขกิเลสตรงๆ เลย . วิธีดำเนินการกำหนดดูความเกิด-ดับด้วยกิจของอริสัจ ๔ ให้กระทำดังนี้ ๑. ให้กำหนดเห็นอารมณ์ที่ “เกิดกับตัวเรา” ในทุกๆ อารมณ์ว่าเป็น “ทุกขสัจจ์” ด้วยการทักอารมณ์ตรงๆ ว่า “นี้คือทุกข์ นี้คือการเกิดขึ้นของทุกข์ นี้คือการตั้งอยู่ของทุกข์ ทุกข์กำลังเกิดกับจิต จิตกำลังมีทุกข์ปรุงแต่งอยู่” ให้ทักอารมณ์อย่างนี้ไว้เสมอๆ เมื่ออารมณ์ดับไปเราก็จะเห็น “ความดับ” ของอารมณ์ได้เอง . ๒. ให้กำหนดเห็นความที่ “ไม่อยาก” จะประสบกับอารมณ์ที่มากระทบตนเองว่าเป็น “สมุทัยสัจจ์” ด้วยการทักสมุทัยตรงๆ ว่า “นี้คือสมุทัย นี้คือการเกิดขึ้นของสมุทัย นี้คือการตั้งอยู่ของสมุทัย สมุทัยกำลังเกิดในจิต จิตกำลังมีสมุทัยปรุงแต่งอยู่” ให้ทักความอยากอย่างนี้ไว้เสมอๆ เมื่อความอยากดับไปเราก็จะเห็น “ความดับ” ของความอยากได้เอง . ๓. ให้กำหนดเห็นความดับของอารมณ์และความอยากไว้ว่าเป็น “นิโรธสัจจ์” ด้วยการเห็นความดับนั้นแล้วกำหนดว่า “นี้คือนิโรธ นี้คือการเกิดขึ้นของนิโรธ นี้คือการตั้งอยู่ของนิโรธ นิโรธกำลังเกิดกับจิต จิตมีนิโรธรองรับอยู่” ให้กำหนดนิโรธไว้อย่างนี้ จิตจะเกิดการถอนตัวออกมาจากสภาวะของทุกข์ สมุทัยและนิโรธ จะเกิดภาวะรู้ตามความเป็นจริงขึ้นมา . ๔. การรู้ตามความเป็นจริงในสัจจะ ๓ ข้อเบื้องต้นนั้น เรียกว่า “มรรคสัจจ์” เมื่อมรรคสัจจ์เกิดขึ้นก็รู้ว่ามรรคสัจจ์เกิดขึ้นแล้ว ก็ให้เจริญมรรคขึ้นด้วยการเห็นทุกข์ที่เกิดมาพร้อมกับสมุทัยจนเห็น “ความสิ้นกระบวนความของทุกข์” ในทุกๆ คราว เมื่อมรรคเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเห็นแต่ความเกิดกับความดับเท่านั้น จิตจะจับดูเกิด-ดับติดต่อเนื่องกันไปตลอดสายโดยไม่ขาดการต่อเนื่องเอง มรรคก็จะค่อยบริบูรณ์ขึ้นมาในตัวมรรคเอง . ทั้งนี้ จะต้องเข้าใจด้วยว่าอารมณ์ ๑ อารมณ์คือก็การเกิดขึ้นของขันธ์ทั้ง ๕ ผัสสะทุกผัสสะเป็นการประกอบการก่อตัวของขันธ์ ถ้าเห็นอารมณ์เกิด-ดับจะไม่เห็นขันธ์ ๕ แต่ก็มีขันธ์ ๕ อยู่ในนั้น ถ้าเห็นขันธ์เกิด-ดับ อารมณ์ก็จะหายไป ไม่ปรากฏให้รับทราบ ถ้าเห็นผัสสะเกิด-ดับ ก็จะไม่เห็นขันธ์ เพราะเป็นขณะแห่งการประกอบการรวมตัวของขันธ์ จึงเห็นแต่เพียงว่ามีสิ่งกระทบแล้วดับก็ไปเท่านั้น . นี่คือความละเอียดตามลำดับการภาวนา จารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น) #AjahnTon