У нас вы можете посмотреть бесплатно ชำแหละคดีปราสาทพระวิหาร: แผนที่ VS สนธิสัญญา ศาลโลกตัดสินอย่างไร? или скачать в максимальном доступном качестве, видео которое было загружено на ютуб. Для загрузки выберите вариант из формы ниже:
Если кнопки скачивания не
загрузились
НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием видео, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу
страницы.
Спасибо за использование сервиса ClipSaver.ru
ชำแหละคดีปราสาทพระวิหาร: สงครามกฎหมาย 50 ปี ระหว่างไทย-กัมพูชา รายงานเชิงลึกนี้ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการประมวลผลเอกสารทางกฎหมายและข้อมูลภูมิสารสนเทศจำนวนมาก เพื่อวิเคราะห์ข้อพิพาทปราสาทพระวิหารอย่างเป็นกลางและเป็นระบบ นี่คือการสรุปเหตุผลทางกฎหมายที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ระหว่างประเทศ! 🔥 จุดเริ่มต้นของข้อพิพาท หัวใจของคดีอยู่ที่ความขัดแย้งระหว่างหลักการทางกฎหมายสองประการ: 1. หลักสันปันน้ำ (Watershed Principle): หลักการทางภูมิศาสตร์ที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญาปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) ซึ่งถ้าใช้หลักการนี้ ปราสาทจะตั้งอยู่ในเขตแดนของไทย 2. แผนที่ภาคผนวก 1 (Annex I map): แผนที่ที่จัดทำโดยเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ซึ่งแสดงเส้นเขตแดนที่เบี่ยงเบนไปจากแนวสันปันน้ำ ทำให้ตัวปราสาทอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา ⚖️ คำพิพากษาประวัติศาสตร์ปี 2505 (1962) ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ไม่ได้ตัดสินตามความถูกต้องทางภูมิศาสตร์ของแผนที่ แต่ตัดสินบนพื้นฐานของ "พฤติกรรมของรัฐ" ที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน ศาลฯ วินิจฉัยให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา โดยอาศัยหลักการสำคัญคือ "หลักความยินยอมโดยปริยาย" (Acquiescence) และ "หลักกฎหมายปิดปาก" (Estoppel) ซึ่งหมายความว่า การที่สยาม (ไทย) รับแผนที่ไว้และมิได้คัดค้านเป็นเวลาหลายสิบปี ถือเป็นการยอมรับโดยปริยาย ทำให้ไทยไม่สามารถนำข้อต่อสู้เรื่องความคลาดเคลื่อนของแผนที่ขึ้นมากล่าวอ้างในภายหลังได้ 🗺️ การตีความขอบเขตปี 2556 (2013) คำพิพากษาปี 2505 ทิ้งความคลุมเครือในประเด็น "บริเวณใกล้เคียง" (vicinity) กับตัวปราสาทไว้ ซึ่งนำไปสู่การปะทะกันด้วยอาวุธหลายครั้งในปี พ.ศ. 2551-2554 ในปี พ.ศ. 2556 ศาลโลกจึงมีคำพิพากษาตีความ โดยวินิจฉัยอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาครอบคลุม "พื้นที่ทั้งหมดของชะง่อนผาพระวิหาร" (the whole territory of the promontory of Preah Vihear) และมีการกำหนดขอบเขตอย่างชัดเจนตามลักษณะทางภูมิประเทศและเส้นในแผนที่ภาคผนวก 1 ในรายงานนี้แสดงภาพความคลาดเคลื่อนทางภูมิศาสตร์ระหว่างหลักสันปันน้ำและเส้นเขตแดนในแผนที่ภาคผนวก 1 อย่างเป็นรูปธรรม คดีนี้จึงเป็นบรรทัดฐานสำคัญที่ยืนยันถึงบทบาทของพฤติกรรมรัฐในการตีความหรือปรับเปลี่ยนข้อผูกพันตามสนธิสัญญาได้ แม้คำตัดสินจะสร้างกรอบทางกฎหมายที่ชัดเจน แต่ศาลฯ ก็เน้นย้ำว่า การตีความนี้ มิใช่การปักปันเส้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้งหมด ซึ่งยังคงเป็นหน้าที่ของทั้งสองรัฐที่จะต้องเจรจาหาข้อยุติขั้นสุดท้ายต่อไป