У нас вы можете посмотреть бесплатно ปราสาทแห่งนี้ผู้หญิงสร้าง или скачать в максимальном доступном качестве, видео которое было загружено на ютуб. Для загрузки выберите вариант из формы ниже:
Если кнопки скачивания не
загрузились
НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием видео, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу
страницы.
Спасибо за использование сервиса ClipSaver.ru
ปราสาทนารายณ์เจงเวง จังหวัดสกลนคร ถือเป็นอีกโบราณสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง ที่เป็นหลักฐานสำคัญ ตอกย้ำว่าดินแดนลุ่มน้ำหนองหารแห่งนี้ คือมหานครใหญ่ มีความเจริญรุ่งเรืองในยุคขอมเรืองอำนาจ โดยกรมศิลปากรระบุว่า ปราสาทนารายณ์เจงเวง น่าจะสร้างใน ราวพุทธศตวรรษ ที่ 16 เป็นศาสนสถานฮินดู เช่นเดียวกันกับปราสาทดุม ปราสาทเชิงชุม ปราสาทภูเพ็ก และอีกหลายสถานที่ ที่ปัจจุบันเหลือเพียงฐานรากปราสาท กระจัดกระจายอยู่โดยรอบ เมืองหนองหาร ปราสาทนารายณ์เจงเวง ตั้งอยู่ที่บ้านธาตุ ตำบลธาตุนาเวง อ.เมือง จังหวัดสกลนคร สร้างด้วยหินทราย ส่วนฐานก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ องค์เจดีย์รูปทรงสี่เหลี่ยมมีซุ้มประตูแต่ละด้าน ภายใต้ซุ้มข้างบนสลักรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ประดับด้วย กนกด้านขด มุมทั้งสี่ด้านขององค์พระธาตุ เป็นรูปนาคห้าเศียร รูปสลักหลายภาพมีภาพกองกำลังทหารถืออาวุธ นอกจากนี้ตำนานการสร้างปราสาทแห่งนี้ ยังผูกกับนินาทพื้นบ้าน ปราสาทธาตุนารายเจงเวงเป็นการก่อสร้างของกลุ่มผู้หญิง เพื่อ แข่งขันกับกลุ่มผู้ชาย สร้างปราสาทภูเพ็ก เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ จากบทความในเวปไชค์ yclsakhon.com ของอาจารย์ สรรค์สนธิ บุญไยทยาน นักพิภพวิทยา นักดาราศาสตร์ ได้กล่าวถึงปราสาทนารายณ์เจงเวง โบราณสถานที่สำคัญ ล่วงผ่านมา กว่า 1000 ปี มีอะไรหายไปแล้ว และอะไรกำลังเสี่ยงกับสูญหาย อันดับแรก "บาราย หรือสระน้ำ ปกติปราสาทของอาณาจักรขอม จะมีการก่อสร้างบาราย โดยมีจุดประสงค์ความเชื่อ แสดงความหมายถึงทะเลที่อยู่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ หรือเป็นที่ชำระล้างร่างกาย ในการประกอบพิธีธรรมตามความเชื่อ มาดูปราสาทที่อยู่ใกล้เคียง กับปราสาทนารายเจงเวง เช่นปราสาทเชิงชุม มีบาราย ซึ่งในปัจจุบันเรียกชื่อว่าสระพังทอง ปราสาทดุม มีบารายอยูผั่ง ช้าย-ขวา ของตัวปราสาท ปราสาทภูเพ็ก มีบารายอยู่ไม่ไกลกันกับปราสาท ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา ปราสาทธาตุนารายเจงเวง ค้นจากภาพถ่ายทางอากาศที่เก่าที่สุดเมื่อปี 2516 ยังคงเห็นภาพบารายรูปร่างสี่เหลี่ยมพืนผ้าทางด้านทิศเหนือของปราสาทนารายณ์ แต่ในปัจจุบันบารายแห่งนี้ อยู่ในพื้นที่ของประชาชน มีการออกโฉนดเรียบร้อย บารายที่เป็นส่วนควบสำคัญของปราสาทนารายเจงเวง ได้หายไป อันดับที่สอง ศิวลึงค์และฐานโยนี ซึ่งศิวลึงค์และฐานโยนี ถือเป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่คู่กับปราสาทขอม ทุกที่ เพราะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธนิกายมหายาน ปรากฏกว่า ศิวลึงค์และฐานโยนี ของปราสาทนารายเจงเวง ได้สูญหายไป ปัจจุบันมีการนำพระพุทธรูปไปตั้งไว้แทน สิ่งที่ยืนยันว่าปราสาทหลังนี้ต้องมีสิ่งดังกล่าวเพราะมีหลักฐาน "ท่อโสมสูตร" ซึ่งเป็นอุปกรณ์ส่วนควบของศิวลึงค์และโยนี อีกทั้งรูปสลักต่างๆที่หน้าบันและทับหลังก็เต็มไปด้วยเทพของศาสนาฮินดูทั้งสิ้น เช่น พระศิวะ พระวิศนุ พระอินทร์ อนึ่ง ปราสาทหลังนี้หันหน้าตรงกับปรากฏการณ์ "วิษุวัต" ตรงกับวันปีใหม่ของปฏิทินมหาศักราช วันดังกล่าวต้องมีพิธีสำคัญในห้องครรภคฤหัสหรือห้องปรางค์ใหญ่ อันดับสาม ทัศนีภาพปรากฏการณ์ "อาทิตย์อุทัย" ในวันสำคัญของปฏิทินมหาศักราช "วิษุวัต" ถูกบดบังสิ้นเชิงโดยพระอุโบสถของวัดพุทธที่สร้างขึ้นภายหลัง เชื่อว่าบรรพชนผู้สร้างปราสาทหลังนี้ตั้งใจให้แสงอาทิตย์เช้าตรู่ในปรากฏการณ์ดังกล่าวส่องเข้าไปยังศิวะลึงค์เพื่อสร้างพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู จากผลการตรวจสอบด้วยอุปกรณ์ GPS พบว่าปราสาทหันตรงไปที่มุมกวาด 90 องศา ตรงกับทิศตะวันออกแท้ อันดับสี่ สุ่มเสี่ยงต่อการเสียหายหรือสาบสูญ ได้แก่ภาพสลักอายุพันปีบนก้อนหินที่วางระเกะระกะอยู่ในคอกไม้ ตากแดดตากฝนมานานกว่า 40 ปี ภาพสลักเหล่านี้มีสิทธิ์หลุดเข้าไปในตลาดค้าของโบราณและเข้าไปอยู่ในมือของนักสะสมของเก่า ...... โดยความเห็นของ อาจารย์ สรรค์สนธิ บุญโยทยาน ว่า ควรจะมีการเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์ ให้มีการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี เช่น พิพิธภัณฑ์เมืองสกล ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร หรือ พิพิธภัณฑ์ภูพาน ในความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร บทความนี้มีเจตนาบันทึกภาพเหตุการณ์สำคัญ เรื่องราว และสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับปราสาทนารายณ์เจงเวงไว้เป็นข้อมูลให้ลูกหลานได้ศึกษาในแง่มุมเชิงวิทยาศาสตร์ และเป็นการเชิญชวนให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องช่วยกันดูแลรักษาตามหลักวิชาการ เช่น นำภาพสลักบนก้อนหินทรายไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์เพื่อให้เกิดการศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์จากวัตถุพยาน และปลุกจิตสำนึกของลูกหลานให้รู้จักคุณค่าแห่งรากวัฒนธรรมของบรรพชน