У нас вы можете посмотреть бесплатно ชีวิตเจ้าชายสยาม หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ที่เกาะชวา I ประวัติศาสตร์นอกตำรา EP. 246 или скачать в максимальном доступном качестве, видео которое было загружено на ютуб. Для загрузки выберите вариант из формы ниже:
Если кнопки скачивания не
загрузились
НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием видео, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу
страницы.
Спасибо за использование сервиса ClipSaver.ru
สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เป็นเจ้านายองค์สำคัญที่ทางคณะราษฎรต้องควบคุมพระองค์ไว้เป็นองค์ประกันสำคัญสูงสุดในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เนื่องด้วยทรงเป็นผู้มีบารมีสูง และทรงอยู่ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร ที่ถือเป็นอันตรายต่อคณะผู้ก่อการอย่างมาก หลังถูกควบคุมพระองค์เป็นเวลา 9 วัน พระองค์ถูกปล่อยในวันที่ 2 กรกฎาคม พร้อมกับคำขาดให้เสด็จออกจากเมืองไทยทันที เมืองบันดุง เป็นเมืองที่สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ เคยเสด็จพร้อมด้วยพระราชบิดา ร. 5 พระองค์ทรงตัดสินพระทัยซื้อที่ปลูกตำหนักเป็นการถาวรบริเวณถนนเนลันด์ ต.จีปะกันดี ห่างจากย่านศูนย์กลางธุรกิจที่วุ่นวายของบันดุงมาราว 3 กิโลเมตร โดยทรงตั้งชื่อตำหนักทั้ง 4 หลัง ตามวรรณกรรมเรื่องอิเหนา ได้แก่ ตำหนักดาหาปาตี ตำหนักปันจะรากัน ตำหนักประเสบัน และตำหนักสตาหมัน เมื่อทรงมีเวลามากขึ้นขณะประทับที่บันดุง สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ทรงเริ่มเรียนภาษามลายู จนสามารถแปลหนังสือเรื่อง “อิเหนา” จากนิทาน “หิกะยัต ปันหยี สะมิหรัง” ซึ่งต้นฉบับเก่าดั้งเดิมเป็นภาษามลายู พระองค์ทรงแปลได้อย่างประณีต แม้สำนวนกวีนิพนธ์ก็ทรงรักษาอรรถรสคำสัมผัสไว้อย่างสำนวนกวีชวา จึงนับเป็นหนังสือที่มีคุณค่าทั้งทางด้านภาษา และวรรณกรรม พระองค์ยังรวบรวมคำศัพท์ของภาษาซุนดา ชวา และมลายู่ที่ใกล้เคียงภาษาไทยขึ้นเป็นหนังสือชื่อ “ปทานานุกรมเทียบศัพท์ภาคชวา ซุนดา มลายู” ขึ้น รวมทั้งยังทรงแปลหนังสือ “ตำนานสังเขปของหมู่เกาะอินเดียตะวันออก” และหนังสือ “ลายภาพจำหลักที่บูโรบูดูร” ขึ้นด้วย พระองค์ยังทรงใช้เวลาว่างที่มีมากขึ้นซ้อมพิณพาทย์ และเครื่องสายไทยที่ทรงโปรดปราน จนผู้คนในละแวกนั้นต่างมาชุมนุมคอยฟังกันทุกวัน ที่บันดุงพระองค์ยังทรงนิพนธ์เพลงจิ้งจอกทองเถา และเพลงสุดถวิลเถา ซึ่งเป็นเพลงพระนิพนธ์เพลงสุดท้ายในพระชนม์ชีพที่ทรงนิพนธ์ขึ้นในปี 2484 ในที่สุดวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพก็เดินทางมาถึง ในช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังเข้ายึดครองชวาระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ทรงสิ้นพระชนม์ลงอย่างสงบด้วยพระโรคไต และพระหทัยเรื้อรัง ในเช้าวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2487 ที่ตำหนักประเสบัน ขณะพระชันษา 63 ปี กับ 7 เดือนเศษ รวมเวลาประทับที่บันดุงรวม 12 ปี สุสานถนนปันดู เป็นสถานที่ที่ราชสกุลบริพัตรเลือกเป็นที่ฝังพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ เช่นเดียวกับศพของ ม.ร.ว. ศศิพรรณ สวัสดิวัฒน์ พระนัดดาของพระองค์ ซึ่งเสียชีวิตที่บันดุง ดังที่พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธวงษวิจิตร หรือ พระองค์หญิงกลาง ทรงนิพนธ์ถึงการเลือกที่ฝังพระศพพระบิดาว่า “และเลยตกลงกันว่าจะเชิญไปบรรจุในที่ฝังศพสำหรับฝรั่ง ซึ่งศพศศิพรรณบรรจุอยู่ที่นั่นแล้ว แต่คนละทางกัน ที่ฝังศพนี้เป็นธรรมเนียมของเขาที่จะขายเนื้อที่ให้พอเฉพาะแต่ละศพเท่านั้น และเมื่อศพฝังอยู่ในที่นั้น ๆ ครบ 20 ปีแล้ว ก็ต้องถูกขุดขึ้นเอาไปฝังรวม ๆ กันไว้ทางอื่น เพื่อให้มีที่พอสำหรับศพที่มาใหม่ เราเห็นกันว่าถ้าจะซื้อที่เพียงแต่เฉพาะเช่นนั้น ที่บรรจุพระศพพ่อจะไม่งาม และต่อไปอาจมีศพใครมาฝังเคียงข้างอยู่ก็ได้ พวกเราคนไทยในเวลานั้นมีอยู่ราว 20 คน จึงเลยขอซื้อที่ฝังศพเตรียมไว้สำหรับ 20 คน แล้วใช้ที่ทั้งหมดสำหรับพระศพพ่อพระองค์เดียว จึงมีเนื้อที่กว่างขวางพองาม... ภายหลังเราได้จัดการก่อเป็นศาลาเล็ก ๆ ขึ้นเหนือหลุมพระศพนั้น และปรับปรุงสถานที่ให้งดงาม ในเวลาต่อมา เราต่างคนต่างไปเฝ้า และนำดอกไม้ไปถวายที่พระศพเนือง ๆ “ หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบสิ้นลง ราชสกุลบริพัตรที่เหลือก็เริ่มทยอยเดินทางกลับสู่ประเทศไทย ปิดฉากเรื่องราวชีวิตลี้ภัยในบันดุง หลังต้องประทับอยู่ยาวนานถึง 14 ปี อย่างไรก็ตาม..ขากลับสู่มาตุภูมิกลับขาดสมาชิกสำคัญที่ต้องออกจากวังบางขุนพรมมาพร้อมกันในปี 2475 นั่นคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่ยังบรรทมหลับไหลชั่วนิรันดร์อยู่ ณ สุสานถนนปันดู กลางปี 2491 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้นำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ฉายา "จอมพลกระดูกเหล็ก" ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่ราชสกุลบริบัตร ดังบันทึกของพระองค์เจ้าศิริรัตนบุษบง หรือพระองค์หญิงใหญ่ตอนหนึ่งว่า “กลางปี พ.ศ. 2491 จอมพล ป. ก็ได้ทำ “เซอรไพร้ส” ให้แก่องค์สี่ท่านฉัตร และองค์ห้าท่านน้อยอย่างมาก ที่ได้ส่งก๊าร์ตเชิญแต่งงานลูกสาวคนใหญ่..... เมื่อได้พบกันในงานสมรส จอมพล ป. ก็รับแขกเป็นอย่างดี แล้วยังไงไม่ทราบเกิดเอ่ยถึงพ่อ จอมพล ป.ว่า “ยังไม่ได้ถวายพระเพลิงหรอกรึ นึกว่าถวายแล้ว” องค์สี่บอกว่า “แขกเขาไม่เผากัน” จอมพล ป.ว่า “ถ้ายังงั้นจะได้จัดการเชิญพระศพ” รุ่งขึ้นวิทยุก็ประกาศข่าวทันที” เดือนกันยายน 2491 รัฐบาลแต่งตั้งให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร พระโอรสองค์โต และพระองค์เจ้าศิริรัตนบุษบง หรือพระองค์หญิงใหญ่ เป็นตัวแทนเดินทางไปบันดุงเพื่อเชิญพระศพกลับสู่ประเทศไทย การเชิญพระศพกลับประเทศไทยเริ่มขึ้นในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2491 เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้ถวายพระเกียรติจัดทหารบก 1 กองพล แห่พระศพจากกองบัญชาการทหารเมืองบันดุงขึ้นสู่เครื่องบินของสายการบิน เค.แอล.เอ็ม กลับถึงประเทศไทยในวันเดียวกัน หลังงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลแล้วไม่นาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้มีงานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ณ . พระเมรุท้องสนามหลวง ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2493 จากนั้นเชิญพระอัฐิขึ้นประดิษฐานบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ร่วมกับพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชบุพการีแห่งราชจักรีวงศ์ตามโบราณราชประเพณี ปิดฉากเรื่องราวชีวิตของเจ้าชายสยามแห่งราชวงศ์จักรีที่เต็มไปด้วยสีสัน