У нас вы можете посмотреть бесплатно EP004: 7 วีซ่า มาอเมริกาได้ไม่ยาก или скачать в максимальном доступном качестве, видео которое было загружено на ютуб. Для загрузки выберите вариант из формы ниже:
Если кнопки скачивания не
загрузились
НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием видео, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу
страницы.
Спасибо за использование сервиса ClipSaver.ru
#วีซ่าอเมริกา #ทีมอเมริกา #ทหารอเมริกัน #mickeyjourneyusa สวัสดีครับ... กลับมาเจอกลับพี่มิกกี้ อีกแล้วนะครับ วันนี้จะมาเล่าให้ฟังถึง 7 Visa สุดฮอตที่จะพามาอเมริกากันนะครับ ถ้าใครอยากฟังเรื่องสนุกแบบนี้เรื่อย ๆ ก็กดติดตามพี่มิกได้ ใน YouTube และ Facebook Page ที่ “ Mickey’s Journey USA” ได้เลยนะครับ ทำ Content เสร็จปุ๊บจะ Post ในนั้นเลยจะได้ไม่ต้องรอกันครับ ขอบอกก่อนนะครับว่า พี่มิกไม่ได้เป็นทนาย ไม่ได้เรียนกฎหมายมา สิ่งที่จะบอกมาจากประสบการณ์โดยตรงและข้อมูลที่ศึกษามาตลอด ถ้าข้อมูลที่ให้ไปไม่ update หรือว่ามีข้อผิดพลาด ต้องขออภัยไว้ก่อนนะครับ อยากจะมาบอกเป็นแนวทางให้กับเพื่อน ๆ นะครับ วีซ่ามาอเมริกา จะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ วีซ่าชั่วคราว และ วีซ่าถาวร พี่มิกจะเล่าถึง “วีซ่าชั่วคราว” ก่อนนะครับ “B” VISA หรือที่ทุกคนคุ้นเคยที่สุดคือ วีซ่าท่องเที่ยว ซึ่งจะแบ่งเป็น B1 คือมาประชุมงานในอเมริกา และ B2 มาเที่ยว หาญาติ มาแวะหาร้านกินข้าว วีซ่านี้จะของ่ายสุดนะครับ แต่ต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเราจะมาแล้วกลับประเทศ ไม่ได้คิดหนีวีซ่า และส่วนใหญ่มักได้นานถึง 10 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามาแล้วอยู่นานได้ 10 ปี เราจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนในแต่ละครั้งที่มา อาจจะมาปีละหลายๆ ครั้งได้ แต่ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับการประทับตราใน Passport ขาเข้าออกประเทศ แต่วีซ่านี้ไม่อนุญาตให้ทำงานนะครับ ถ้าจะแอบกันก็ต้องระวังหน่อยนะ! มันไม่ถูกต้องนะครับ “J” VISA หรือ เรียกว่า J1 นะครับ อันนี้เป็นวีซ่าแลกเปลี่ยน ฝึกงาน หรือ ทำงานระยะสั้นๆ อาจจะได้ 3 เดือน หรือ 2 ปีก็ได้ แต่ที่สำคัญคือจะต้องมี บริษัทในอเมริกาเป็นคนดำเนินเรื่องให้ โดยเราจะต้องทำงานกับเขาตามที่ได้ระบุ คนส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบของ Work and Travel, Summer Camp หรือ น้องผู้หญิงหลาย ๆ คนจะคุ้นเคยกับโครงการ Au Pair ที่จะมาช่วยดูแลเด็ก ๆ ส่วนพี่มิกเคยมาใน 2 แบบแรกเลย ไว้จะมาเล่าให้ฟังอีกทีครับ ในส่วนตัวคิดว่า วีซ่านี้ดีมากเพราะถ้าได้มาแล้วส่วนใหญ่จะสามารถขอ Social Security (SSN) ซึ่งสำคัญมาก ๆ ในการมาใช้ชีวิตที่อเมริกา “F” VISA หรือ วีซ่านักเรียน เส้นทางสู่ความหวังใบเขียว ที่บอกตรงนี้เพราะว่า มันคือจุดเริ่มต้นของการได้งานที่อเมริกานะครับ วีซ่านี้ โดยปรกติจะออกให้ประมาณ 5 ปี แต่หลังๆ อาจจะออกให้น้อยลง ส่วนเวลาที่เราจะสามารถอยู่ในอเมริกาได้ จะขึ้นอยู่กับเอกสารที่โรงเรียนออกให้ เรียกว่า “I-20” ซึ่งถ้าเราเรียนจบจากโรงเรียนหนึ่ง แล้วไปต่ออีกโรงเรียนเราก็ต่อ “I-20” ไปเรื่อย ๆ ได้ครับ อีกอย่างที่สำคัญมากถ้าเราเรียนจบในระดับ Degree level เช่น อนุปริญญา ปริญญาตรี ไป ถึง ปริญญาเอก เขาจะให้เรายื่นขอ OPT (Optional Practical Training) และขอใบ Work Permit (EAD) ที่ใช้ทำงานชั่วคราว ได้ 1 ปี สำหรับทำงานในบริษัทต่าง ๆ ตามสายวิชาที่เรียนมา แล้วถ้าเรียนจบสาย STEM พวกแนว วิทยาศาสตร์ อาจจะขอ Work Permit ได้ถึง 2 ปี แล้วในระหว่างที่เรามี Work Permit เราก็จะต้องทำให้ บริษัทที่เราทำงานด้วยประทับใจเราจนเขายอมช่วย Sponsor วีซ่า คนทำงาน H1B ที่จะพูดถึงต่อไป... Note: มีน้องคนหนึ่งมา update ให้ฟัง ว่า Visa F1 เหลือ Maximum แค่ 1 ปี “H” VISA หรือ วีซ่าทำงาน H1B กว่าจะได้อันนี้มาก็ยากสุด ๆ แต่ถ้าได้มาแล้ว เส้นทางสู่ใบเขียวก็ใกล้ขึ้นเยอะเลยครับ วีซ่านี้จะอนุญาตให้เราทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายกับบริษัทที่เขารับรองเรา แต่ความยากนั้นอยู่ที่เรื่องของเวลา เพราะทุกปีเขาจะจำกัดจำนวนไว้ประมาณ 85,000 คน จากทั่วประเทศ ซึ่งเราต้องแข่งขันกับคนชาติ ๆ อื่นในการสมัครวีซ่านี้ โดยต้องให้บริษัทที่เราทำงานอยู่ช่วยเดินเรื่องให้ ซึ่งอาจเสียค่าใช้จ่ายประมาณ $3,000 - $5,000 ในการได้มา แล้วก็จะทำให้อยู่ในอเมริกาได้นานถึง 6 ปี และอาจต่อได้เรื่อย ๆ ในขณะที่กำลังยื่นเรื่องใบเขียวในรูปแบบของ EB2/EB3 ข้อดีอีกอย่างถ้ามีครอบครัว จะสามารถให้มาอยู่ได้เป็น H4 และทำงานได้ถูกต้องด้วย อ๋อ! มันมีวีซ่า H2B ด้วย แต่เป็นงานพวกการเกษตร หรือ ลูกจ้างชั่วคราวแบบสั้น ๆ ไม่ค่อยรู้จักใครที่ได้มาเท่าไร “E” VISA มี E1, E2, E3 แต่อยากจะขอพูดถึง E2 นะครับ เพราะว่ามีคนสนใจมากคือ วีซ่านักลงทุน โดยปกติจะต้องใช้เงินจำนวนประมาณ $100,000 - $200,000 แต่ว่ามีคนที่รู้จักใช้เงินแค่ $20,000 ก็สามารถขอวีซ่านี้ได้ แต่อันนั้นจะ Special case หน่อย เพราะเราต้องสามารถแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจจะมีรายได้ มีการจ้างงานเกิดขึ้น และต้องถือหุ้นส่วนมากกว่า 50% ในบริษัทของตัวเอง วีซ่านี้ส่วนใหญ่จะต้องคอยต่อทุก ๆ 2 – 5 ปี แล้วก็จะสามารถบินกลับมาเมืองไทยได้ ไม่เกินครั้งละ 6 เดือน ข้อดีคือ สามารถให้คนในครอบครัวมาอยู่ได้และทำงานได้ด้วย แต่ถ้าอยากได้ใบเขียวเราต้องยื่นขอวีซ่าใหม่อีกอันเรียกว่า EB5 ซึ่งคงจะได้ยากพอควรเลยครับ “O” VISA หรือ O1 เป็นวีซ่าสำหรับคนที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถพิเศษมากกว่าคนอื่น อาจเป็นการทำวิจัย ด้านกีฬา การดนตรี มีการได้รางวัล มีผลงานในหลาย ๆ ด้าน พี่มิกรู้จักน้องสาวคนหนึ่งที่ได้วีซ่านี้ โดยได้มาจากการเป็น นางแบบก็มี วีซ่านี้ต้องมีบริษัทหรือหน่วยงานที่ต้องคอยรับรองให้ด้วย แต่ข้อดีของมันคือไม่มี CAP หรือว่าไม่ได้จำกัดว่าแต่ละปีจะได้กี่คน ถ้ามีเอกสารประกอบอย่างดีก็มีโอกาสได้ง่ายเลย และก็สามารถต่อไปได้เรื่อย ๆ ด้วย ซึ่งอาจจะไปขอใบเขียวต่อที่ วีซ่า EB1 “L” VISA มี L1A กับ L1B ซึ่งจะคล้าย ๆ กันนะครับ จะเป็นวีซ่าสำหรับพนักงานย้ายไปปฏิบัติงานระหว่างบริษัทนะครับ เหมือนกับเราถ้าทำงานที่เมืองไทย แล้วมีบริษัทแม่อยู่ที่อเมริกา แล้วเขาขอให้คนที่เมืองไทยไป ช่วยก็สามารถออกวีซ่าลักษณะนี้ เพื่อให้ไปทำงานได้แบบถูกต้อง แต่ส่วนใหญ่คนที่จะได้แบบนี้ ต้องเป็นระดับผู้บริหารหรือไม่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา ซึ่งสามารถยืนขอใบเขียวในแบบ วีซ่า EB1C ได้อีกด้วย ฝาก Comment ไว้ในนี้ หรือ ทักเข้ามาใน FB ได้ที่ [Mickey's Journey USA] page นะครับ / mickeyjourneyusa