У нас вы можете посмотреть бесплатно มูลเหตุแห่งการล่มสลายของพระพุทธศาสนา или скачать в максимальном доступном качестве, видео которое было загружено на ютуб. Для загрузки выберите вариант из формы ниже:
Если кнопки скачивания не
загрузились
НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием видео, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу
страницы.
Спасибо за использование сервиса ClipSaver.ru
จากนาลันทาสู่บามิยัน From Nalanda to Bamiyan โดย เจ้าประคุณ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต ปราชญ์แห่งพุทธศาสนา) มหาวิทยาลัยนาลันทา ( Nalanda University ) มหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลก พ.ศ. ๑๑๗๒ - ๑๑๘๗ หลวงจีนเฮี้ยนจัง ( พระถังซำจั๋ง ) ซึ่งจาริกมาสืบพระศาสนาในอินเดีย ก็ได้มาศึกษา ที่นาลันทามหาวิหาร และได้เขียนบันทึกบรรยายอาคารสถานที่ ซึ่งใหญ่โตและศิลปกรรมที่วิจิตรงดงาม ไว้ว่า “ที่เด่นชัดก็คือ นาลันทา เป็นศูนย์กลางการศึกษาพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เพราะความที่มีกิตติศัพท์เลื่องลือมาก จึงมีนักศึกษาเดินทาง มาจากต่างประเทศหลายแห่ง เช่น จีน ญี่ปุ่น เอเซียกลาง สุมาตรา ชวา ทิเบต และมองโกเลีย เป็นต้น และ หอสมุดนาลันทา ใหญ่โตมากและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่เมื่อมหาวิทยาลัยนาลันทา ถูกทำลายทำให้หอสมุดนาลันทา ไหม้อยู่เป็นเวลาหลายเดือน” ความล่มสลายของมหาวิทยาลัยนาลันทา ในประมาณ พ.ศ. ๑๗๔๒ กองทัพมุสลิมเติรกส์ ได้ยกทัพมารุกราน รบชนะกษัตริย์แห่งชมพูทวีปฝ่ายเหนือ และเข้าครอบครองดินแดนโดยลำดับ กองทัพมุสลิมเติรกส์ ได้เผาผลาญทำลายวัดและปูชนียสถานในพุทธศาสนาลง แทบทั้งหมด และสังหารผู้ที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนา นาลันทามหาวิหารก็ถูกเผาผลาญทำลายลง ในช่วงระยะเวลานั้นด้วย มีบันทึกของนักประวัติศาสตร์ ชาวมุสลิมเล่าว่า ที่นาลันทา พระภิกษุถูกสังหารแทบหมดสิ้น และมหาวิทยาลัยนาลันทาก็ก้าวถึงความพินาศ สูญสิ้นลงแต่บัดนั้นมา *** *** *** *** *** *** พระพุทธรูปใหญ่แห่งขุนเขาบามิยัน เมืองบามิยัน เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ตอนกลาง ของประเทศอัฟกานิสถานในปัจจุบัน และเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ บนเส้นทางสายไหมอันโด่งดัง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดศูนย์กลาง ความเจริญรุ่งเรืองของศาสนาพุทธ ที่ยังหลงเหลือร่องรอย ความยิ่งใหญ่ปรากฏให้เห็นอยู่บ้างถึงปัจจุบัน แต่เป็นที่น่าเสียดาย เมื่อสองหลักฐานสำคัญของความรุ่งเรือง ในศาสนาพุทธของเมืองบามิยัน นั่นคือ พระพุทธรูปขนาดยักษ์ ที่เกิดจากการแกะสลักเข้าไปหน้าผาสององค์ ได้ถูกทำลายลง ด้วยฝีมือของกลุ่มตาลีบัน เมื่อปี ๒๐๐๑ (๒๕๔๔) จนไม่เหลือซากองค์พระพุทธรูปให้เห็นอยู่เลย ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธรูปทั้งสององค์ จึงคงเหลือให้เห็น เพียงภาพถ่าย หรือภาพเขียนซึ่งจะเห็นได้ว่าองค์พระทั้งสอง ที่หลงเหลือก่อนถูกทำลายก็อยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม จนไม่เหลือพระพักตร์ให้เห็น จนคาดเดาได้ยากว่า เมื่อครั้งที่พระพุทธรูปทั้งสองอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จะมีความงดงามเพียงใด เคราะห์ดีที่ “พระถังซำจั๋ง” (บ้างก็สะกดว่า เหี้ยนจึง หรือเสวียนจั้ง ตามสำเนียงที่ต่างไป) หลวงจีนที่มีชื่อเสียง โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนา ในดินแดนชมพูทวีป เมื่อราว ๑,๔๐๐ ปีก่อน ได้เดินทาง ผ่านแคว้นบามิยันพร้อมกับได้บันทึกสิ่งที่ท่านได้พบเห็น ในดินแดนแห่งนี้เอาไว้ด้วย ตามบันทึกของท่านระบุว่า ในแคว้นบามิยัน มีอารามหลายสิบแห่ง มีพระภิกษุนับพัน พร้อมกล่าวถึง พระพุทธรูปใหญ่แห่งบามิยันเอาไว้ว่า “เนินเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวง [ของพามิยาน] มีพระพุทธรูปจำหลักด้วยศิลา สูง ๑๔๐-๑๕๐ เฉียะ สีทองอร่ามประดับด้วยอัญมณีมีค่า ด้านตะวันออกขององค์พระพุทธรูปมีอารามแห่งหนึ่ง ซึ่งอดีตพระราชาของแคว้นทรงสร้างขึ้น” แต่ถึงจะอย่างไรก็ตาม พวกเราเหล่าท่าน ต้องทำใจว่า ใดใดในโลกล้วน “อนิจจัง” ตามพระธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระชินวรนั่นเอง พวกเราชาวพุทธ เมื่อศึกษาทั้งสองเรื่องนี้แล้ว ควรวางใจให้เป็นกลาง คือไม่พึงห่วงหาอาลัยถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วในอดีต และไม่ควรพะวงถึงเรื่องในอนาคตมากนัก แต่ต้องอยู่กับปัจจุบัน ด้วยความไม่ประมาทขาดสติ มีปัญญา รู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ รู้แพ้รู้ชนะ รู้อภัย เมื่อทำได้อย่างนี้ ชีวีก็มีสุข ทุกคืนวัน ฉะนั้นแล ฯ