Русские видео

Сейчас в тренде

Иностранные видео


Скачать с ютуб ฎีกา InTrend EP.24 ผู้เช่าที่ดินจะมีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับผู้บุกรุกที่ดิน...ได้หรือไม่ в хорошем качестве

ฎีกา InTrend EP.24 ผู้เช่าที่ดินจะมีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับผู้บุกรุกที่ดิน...ได้หรือไม่ 3 года назад


Если кнопки скачивания не загрузились НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу страницы.
Спасибо за использование сервиса ClipSaver.ru



ฎีกา InTrend EP.24 ผู้เช่าที่ดินจะมีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับผู้บุกรุกที่ดิน...ได้หรือไม่

ฎีกา In trend ep.24 ผู้เช่าที่ดินจะมีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับผู้บุกรุกที่ดินที่เช่าที่อยู่มาก่อนตนทำสัญญาเช่าได้หรือไม่ The Host : กองสารนิเทศและประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลยุติธรรม Guest Host : สรวิศ ลิมปรังษี ที่ปรึกษา : สรวิศ ลิมปรังษี, สุริยัณห์ หงษ์วิไล, จีรวรรณ เจริญยศ Show Creator : นันทวัลย์ นุชนนทรี, ศณิฏา จารุภุมมิก Episode Producer & Editor : ศณิฏา จารุภุมมิก, ปนัสยา ชื่นอุระ Sound Designer & Engineer : กฤตภาส ทองแจ้ง, กิติชัย โล่สุวรรณ Coordinator & Admin : สุภาวัชร์ ดลมินทร์, โสรัตน์ ไวศยดำรง Art Director : สุภาวัชร์ ดลมินทร์, ปันจารีณ์ สุวรรณโภชน์ ทศพร ศิลาบำเพ็ญ Webmaster : ผุสชา เรืองกูล, วชิระ โรจน์สุธีวัฒน์ การที่มีผู้เข้าไปบุกรุกที่ดินย่อมทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ที่มีสิทธิที่ทำให้ไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินผืนนั้นได้ การบุกรุกนั้นอาจเป็นการกระทำความผิดอาญาที่ถูกดำเนินคดีและต้องรับโทษได้ แต่การจะดำเนินคดีอาญาได้นั้นจำเป็นต้องให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนก่อนจึงจะดำเนินการได้ ปัญหาที่จะนำมากล่าวถึงในตอนนี้เป็นกรณีที่ว่าหากมีการบุกรุกเข้าไปในที่ดินแปลงหนึ่ง ผู้เช่าที่ดินแปลงนั้นที่ทำสัญญาเช่าภายหลังจากเกิดเหตุบุกรุกแต่ผู้บุกรุกยังคงอยู่ในที่ดินต่อมาจะเป็นผู้เสียหายที่มีสิทธิไปร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและดำเนินคดีอาญากับผู้บุกรุกนั้นได้หรือไม่ กำจรได้เข้าไปทำประโยชน์ทำร้านค้าขายสินค้าอยู่ในที่ดินซึ่งเป็นที่ราชพัสดุซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมธนารักษ์ ต่อมาสายหยุดได้เข้าไปติดต่อขอทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวจากกรมธนารักษ์เพื่อจะนำไปทำสถานีบริการน้ำมัน กรมธนารักษ์ตกลงให้สายหยุดเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวและทำสัญญาเช่ากับสายหยุด แต่เมื่อสายหยุดได้ไปแจ้งให้กำจรทราบว่าตนเองได้ทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวกับกรมธนารักษ์แล้ว และขอให้กำจรออกไปจากที่ดิน กำจรปฏิเสธไม่ยอมออกไป ทำให้สายหยุดไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวได้ สายหยุดได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจที่รับผิดชอบพื้นที่ดังกล่าว พนักงานสอบสวนได้สอบสวนแล้วมีความเห็นควรสั่งฟ้อง พนักงานอัยการได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งฟ้องกำจรเป็นจำเลย สายหยุดร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมคดีดังกล่าวด้วย กำจรจึงต่อสู้ว่าการดำเนินคดีอาญาคดีนี้ทำโดยไม่ชอบ เนื่องจากสายหยุดไม่มีอำนาจไป “ร้องทุกข์” ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญาคดีนี้ได้ กรณีที่เกิดขึ้นนี้เป็นกรณีที่มีการกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานบุกรุกที่เข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวน การครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นที่ครอบครองโดยปกติสุข แต่ไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นการกล่าวหาว่าการบุกรุกเข้าไปนั้นทำในเวลากลางคืน ใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธหรือร่วมกันทำตั้งแต่สองคนขึ้นไป ทำให้การกระทำความผิดฐานบุกรุกกรณีนี้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ที่เป็น “ความผิดต่อส่วนตัว” และเป็น “ความผิดอันยอมความได้” การดำเนินคดีอาญาที่เป็นความผิดอันยอมความได้ลักษณะนี้จะต้องมีการ “ร้องทุกข์” โดย “ผู้เสียหาย” เสียก่อน พนักงานสอบสวนจึงจะมีอำนาจทำการสอบสวนได้และพนักงานอัยการจึงจะมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลได้ แต่ปัญหาสำหรับกรณีนี้คือ “สายหยุด” ที่ทำสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์จะถือว่าเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้หรือไม่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นปรากฏว่าการที่กำจรเข้าไปสร้างร้านค้าทำการค้าขายในที่ดินแปลงที่เป็นปัญหานี้ กำจรเข้าไปตั้งแต่ก่อนที่สายหยุดจะไปทำสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์ เพียงแต่กำจรอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวเรื่อยมาและไม่ยอมออกไปจากที่ดินเมื่อสายหยุดไปทำสัญญาเช่ากับกรมธนารักษ์ หากการกระทำของกำจรจะเป็นความผิดฐานบุกรุก การกระทำความผิดนี้ก็เกิดขึ้นเป็นความผิดสำเร็จตั้งแต่ขณะแรกที่กำจรเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนี้แล้วอันเป็นการบุกรุกที่ดินที่ทำให้กรมธนารักษ์ได้รับความเสียหายและเป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดนี้ ส่วนการที่กำจรอยู่ในที่ดินดังกล่าวเรื่อยมาถือว่าเป็นเพียง “ผลของการบุกรุก” แม้สายหยุดในกรณีนี้จะทำสัญญาเช่าที่ดินก็ตาม แต่สายหยุดยังไม่เคยเข้าไปครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวเลยย่อมจะบอกไม่ได้ว่าการกระทำของกำจรเป็นการ “รบกวนการครอบครอง” ของสายหยุดในเมื่อสายหยุดเองก็ยังไม่เคยเข้าไปใช้ประโยชน์และครอบครองที่ดินแปลงนั้นจริง ๆ การกระทำของกำจรแม้จะทำให้สายหยุดไม่สามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินที่ตนทำสัญญาเช่าได้ แต่ในส่วนของความผิดอาญาที่เกิดขึ้นมาก่อนแล้วไม่ถือว่าสายหยุดเป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้ ดังนั้น การที่สายหยุดไม่ใช่ผู้เสียหายที่มีอำนาจร้องทุกข์แล้ว การสอบสวนที่ทำมาจึงไม่ชอบตามไปด้วย พนักงานอัยการย่อมไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ หากจะดำเนินการให้ถูกต้องในกรณีลักษณะนี้จึงต้องให้ผู้เสียหายที่ถูกต้องคือเจ้าของที่ดินไปดำเนินการร้องทุกข์เองจึงจะทำให้สามารถดำเนินคดีอาญาต่อมาได้ การดำเนินคดีอาญาที่เป็น “ความผิดอันยอมความได้” อย่างเช่นการบุกรุกจะต้องให้ “ผู้เสียหาย” ตามกฎหมายไป “ร้องทุกข์” ต่อพนักงานสอบสวนให้ถูกต้องเสียก่อนจึงจะทำให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนและดำเนินคดีอาญาต่อไปได้ แต่กรณีลักษณะนี้ที่การบุกรุกเกิดก่อนการทำสัญญาเช่า ผู้เช่าอาจไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีสิทธิไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3081/2561)

Comments