У нас вы можете посмотреть бесплатно โลกก่อนสงคราม เงาลวงตาของสันติภาพ | รู้ไว้ใช่ว่า | สงครามโลกครั้งที่ 2 war series Ep.01 или скачать в максимальном доступном качестве, видео которое было загружено на ютуб. Для загрузки выберите вариант из формы ниже:
Если кнопки скачивания не
загрузились
НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием видео, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу
страницы.
Спасибо за использование сервиса ClipSaver.ru
Ep.01 โลกก่อนสงคราม เงาลวงตาของสันติภาพ สงครามโลกครั้งที่ 2 war series Ep.01 Content 0:02 Intro 1:18 เศษซากจากสงครามโลกครั้งที่ 1 4:54 สามอำนาจ 8:53 ความทะเยอทะยานของฮิตเลอร์ 11:42 ไฟสงคราม 14:41 สงครามเริ่มต้น สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939–1945) ถือเป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70 ล้านคน และเปลี่ยนโฉมโลกไปตลอดกาล แต่หากย้อนกลับไปพิจารณาโลกในช่วงทศวรรษ 1920–1930 เราจะพบว่า “สงครามครั้งใหม่นั้นคุกรุ่นอยู่แล้ว” เพียงรอเวลาและเงื่อนไขที่เหมาะสม ปัจจัยต่าง ๆ ตั้งแต่สนธิสัญญาสงคราม เศรษฐกิจตกต่ำ จนถึงการผงาดของลัทธิสุดโต่ง ล้วนเป็นเชื้อไฟที่นำไปสู่หายนะครั้งใหญ่นี้ 1. สนธิสัญญาแวร์ซาย: ตราประทับแห่งความอัปยศ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีตกอยู่ในฐานะผู้แพ้ และถูกบังคับให้ลงนามใน สนธิสัญญาแวร์ซาย (1919) เงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ชดใช้ค่าเสียหายสงครามจำนวนมหาศาล การถูกจำกัดกองทัพ ไม่ให้มีมากกว่า 100,000 นาย การสูญเสียดินแดน เช่น แคว้นอัลซัส–ลอแรน และอาณานิคมในแอฟริกา การถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ก่อสงคราม เงื่อนไขเหล่านี้สร้างความอับอายและบ่มเพาะความรู้สึก “อยากแก้แค้น” ในสังคมเยอรมัน ขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสและอังกฤษกลับเชื่อว่าแรงกดดันนี้จะป้องกันไม่ให้เยอรมนีก่อสงครามอีก แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม มันทำให้ชาติเยอรมันเต็มไปด้วยความคับแค้น และกลายเป็นเงื่อนไขอันสมบูรณ์แบบให้ลัทธิชาตินิยมสุดโต่งอย่างนาซีเข้ามาโหมกระพือ 2. วิกฤตเศรษฐกิจโลก ค.ศ. 1929 ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ที่เริ่มต้นจากการล่มสลายของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 1929 ส่งผลเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก เยอรมนีซึ่งต้องพึ่งพาเงินกู้จากอเมริกาเพื่อชำระหนี้สงคราม ต้องเผชิญกับการว่างงานนับล้าน ญี่ปุ่นประสบปัญหาการค้าหดตัว และหันไปขยายอำนาจทางทหารเพื่อหาทรัพยากร อิตาลีที่ตกอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจเช่นกัน ใช้โอกาสนี้สร้างแนวทาง “รัฐเผด็จการฟาสซิสต์” เพื่อฟื้นฟูศักดิ์ศรีชาติ ความยากจน การว่างงาน และความสิ้นหวัง เป็นดินที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการเติบโตของระบอบเผด็จการ ประชาชนจำนวนมากพร้อมจะฝากความหวังไว้กับผู้นำที่สัญญาว่าจะฟื้นฟูชาติ แม้ต้องแลกด้วยเสรีภาพ 3. การผงาดของลัทธิสุดโต่ง ช่วงทศวรรษ 1930 โลกได้เห็นการขึ้นมาของผู้นำเผด็จการที่ทรงอิทธิพลและอันตรายที่สุดในศตวรรษที่ 20 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และพรรคนาซีในเยอรมนี ใช้ความไม่พอใจต่อสนธิสัญญาแวร์ซายและปัญหาเศรษฐกิจ สร้างวาทกรรม “ชาติเยอรมันยิ่งใหญ่” และแนวคิดชาตินิยมเชื้อชาติ (Aryan Supremacy) เบนิโต มุสโสลินี ในอิตาลี นำลัทธิฟาสซิสต์มาใช้ ย้ำถึงความรุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมัน และผลักดันการขยายอาณานิคม จักรวรรดิญี่ปุ่น ภายใต้การนำของกองทัพและจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ เดินหน้าแนวคิด “เอเชียเพื่อชาวเอเชีย” ที่แท้จริงคือการยึดครองดินแดนรอบข้างเพื่อหาทรัพยากร ระบอบเผด็จการเหล่านี้มีจุดร่วมสำคัญคือ “การใช้ความรุนแรงและการขยายอำนาจทางทหาร” เป็นเครื่องมือหลัก 4. ความล้มเหลวของสันนิบาตชาติ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โลกพยายามสร้างกลไกป้องกันสงครามผ่าน สันนิบาตชาติ (League of Nations) แต่กลไกนี้อ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลหลายประการ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นมหาอำนาจ ไม่เข้าร่วม ไม่มีอำนาจทางทหารจริงในการบังคับใช้มติ มหาอำนาจยุโรปเองยังคงมีผลประโยชน์ขัดแย้ง ผลที่เกิดขึ้นคือ สันนิบาตชาติไม่สามารถหยุดยั้งการรุกราน เช่น ญี่ปุ่นยึดครองแมนจูเรีย (1931) อิตาลียึดเอธิโอเปีย (1935) เยอรมนีเข้ายึดไรน์แลนด์ (1936) ความล้มเหลวนี้ยิ่งตอกย้ำว่าระเบียบโลกหลังสงครามครั้งแรกเปราะบาง และเปิดโอกาสให้เผด็จการเดินหน้าตามแผน 5. นโยบายประนีประนอม (Appeasement) ของตะวันตก อังกฤษและฝรั่งเศส แม้จะเห็นการขยายตัวของเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น แต่ก็เลือกใช้นโยบาย “ประนีประนอม” เพราะ ประชาชนในยุโรปยังฝังใจจากความสูญเสียของสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่อยากเข้าสู่สงครามใหม่ ปัญหาเศรษฐกิจทำให้รัฐบาลไม่พร้อมรับศึก มีความหวังผิด ๆ ว่าหากยอมให้เยอรมนีแก้ไขความอยุติธรรมบางส่วน ฮิตเลอร์อาจหยุดเพียงเท่านั้น ผลลัพธ์คือ ฮิตเลอร์ยิ่งได้ใจ สามารถผนวกออสเตรีย (Anschluss, 1938) และยึดดินแดนซูเดเทนแลนด์ของเชโกสโลวาเกีย (1938) โดยแทบไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว 6. ความตึงเครียดระดับโลก ปลายทศวรรษ 1930 โลกแบ่งออกเป็นสองขั้วที่ชัดเจน ฝ่ายอักษะ (Axis Powers): เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น ร่วมมือกันเพื่อขยายอำนาจ ฝ่ายสัมพันธมิตร (Allied Powers): อังกฤษ ฝรั่งเศส ต่อมาได้สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียตร่วม การเผชิญหน้าของสองขั้วนี้แผ่ขยายไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป เอเชียแปซิฟิก หรือแอฟริกา การแข่งขันอาวุธเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เสียงระเบิดของสงครามครั้งใหม่แทบจะได้ยินอยู่แล้ว 7. จุดชนวน: การบุกโปแลนด์ ค.ศ. 1939 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 กองทัพเยอรมนีบุกโปแลนด์ โดยใช้ยุทธวิธี “Blitzkrieg” หรือสงครามสายฟ้าแลบ สร้างความตกตะลึงให้กับโลก อังกฤษและฝรั่งเศสไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก จึงประกาศสงครามต่อเยอรมนีในวันที่ 3 กันยายน 1939 สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ บทสรุป โลกก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เต็มไปด้วยปัจจัยที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแน่นหนา ตั้งแต่ความอยุติธรรมของสนธิสัญญาแวร์ซาย วิกฤตเศรษฐกิจโลก การผงาดของลัทธิสุดโต่ง ความล้มเหลวของสันนิบาตชาติ และนโยบายประนีประนอมที่อ่อนแอ กลายเป็นเชื้อเพลิงที่ผลักดันโลกเข้าสู่สงครามครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ สงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่คือ “หายนะที่ถูกบ่มเพาะ” มาอย่างยาวนาน และเป็นเครื่องเตือนใจว่า ความไม่เป็นธรรมและการเพิกเฉยต่อความรุนแรง สามารถนำโลกไปสู่หายนะได้อีกครั้ง หากมนุษย์ไม่เรียนรู้จากอดีต #รู้ไว้ใช่ว่า #สงครามโลกครั้งที่2 #ประวัติศาสตร์โลก #worldwar2 #WWIIHistory #ประวัติศาสตร์สงคราม #WWIIExplained #BeforeWWII #โลกก่อนสงครามโลก #historydocumentary