У нас вы можете посмотреть бесплатно ข้าวที่หายไปในความมืด ครอบครัวที่ปลูกฝังให้ลูกเป็นโจร или скачать в максимальном доступном качестве, видео которое было загружено на ютуб. Для загрузки выберите вариант из формы ниже:
Если кнопки скачивания не
загрузились
НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием видео, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу
страницы.
Спасибо за использование сервиса ClipSaver.ru
ช่อง"เล่าเรื่อง กรรม " ได้รวมช่อง 2 ช่องคือ 🥰หลอนหลังไมค์ 🥰เล่าเรื่องกรรม ของพี่บุ้งรวมไว้ให้ทั้ง2ช่องในลิ้งนี้แล้วค่ะ👇 เป็นเพื่อนสามารถฟังยาวๆก่อนนอนได้เลยจ้า..🥰 • เส้นทางกรรม by พี่บุ้ง/เล่าหลังไมค์ by พี่... 🙏🙏🙏 นิทานเวรกรรมของครอบครัวขโมยข้าว ตอนที่ 1: ครอบครัวแห่งความโลภ กาลครั้งหนึ่งในหมู่บ้านกลางทุ่งนา มีครอบครัวหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องความเห็นแก่ตัวและความละโมบ พวกเขาคือ พ่อคำเดช กับลูกชายสองคน เปรื่อง และ เพิ่ม ครอบครัวนี้ทำนาเหมือนชาวบ้านคนอื่น ๆ แต่พวกเขาไม่เคยพอใจในสิ่งที่มี มักจะคิดหาวิธีได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเองเสมอ พ่อคำเดชเป็นชายวัยกลางคนที่มีนิสัยเจ้าเล่ห์ แม้จะมีที่นาเป็นของตัวเอง แต่เขากลับมักจะใช้วิธีสกปรกเพื่อให้ได้ข้าวมาเพิ่ม เช่น ขโมยข้าวเปลือกจากยุ้งฉางของเพื่อนบ้าน หรือหลอกให้คนอื่นขายข้าวให้ในราคาถูก ๆ ลูกชายทั้งสองเติบโตขึ้นมาโดยเห็นพ่อของพวกเขาทำเช่นนี้มาตลอด ทำให้พวกเขาซึมซับนิสัยความโลภและไม่มีความละอายในการกระทำของตัวเอง "พ่อ เรามีข้าวเต็มยุ้งแล้ว ทำไมยังต้องไปเอาของคนอื่นอีกล่ะ?" เปรื่องเคยถามพ่อของเขาครั้งหนึ่งเมื่อยังเป็นเด็ก คำเดชหัวเราะในลำคอ ก่อนจะพูดขึ้นว่า "โง่จริง ลูกข้า! คนฉลาดต้องหาทางให้ตัวเองได้มากกว่าคนอื่นเสมอ ถ้าพ่อมีข้าวเยอะกว่าเขา ก็แปลว่าพ่อเหนือกว่าพวกมัน เข้าใจไหม?" เปรื่องและเพิ่มพยักหน้ารับคำสอนของพ่อและจดจำมันไว้อย่างขึ้นใจ พวกเขาเติบโตมาเป็นชายฉกรรจ์ที่มีกำลังมาก และพร้อมจะใช้มันเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ --- การกระทำของครอบครัวนี้ ทุกปีเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว ชาวนาต่างขนข้าวเปลือกกลับไปเก็บไว้ในยุ้งฉางของตัวเอง บางบ้านมีที่เก็บข้าวอยู่กลางนาเพื่อสะดวกในการดูแล แต่บางคนก็เก็บไว้ใกล้บ้านเพื่อให้มั่นใจว่าข้าวของตนจะปลอดภัย แต่สำหรับครอบครัวคำเดชแล้ว ข้าวของคนอื่นก็คือข้าวของพวกเขา ทุกคืนหลังพระอาทิตย์ตกดิน พ่อคำเดชจะออกไปลาดตระเวนดูว่ายุ้งฉางของบ้านไหนมีข้าวมากที่สุด หากเห็นว่าบ้านไหนเผลอหรือไม่มีคนเฝ้า เขาจะส่งเปรื่องกับเพิ่มไปขนข้าวกลับมา พวกเขาไม่เคยกังวลว่าคนอื่นจะรู้ เพราะพวกเขาทำอย่างแนบเนียน "พ่อ เราจะทำยังไงถ้ามีคนเริ่มสงสัย?" เพิ่มถามขึ้นขณะที่กำลังช่วยพ่อขนข้าวเปลือกมาเก็บไว้ที่ยุ้งฉางของตัวเอง คำเดชแสยะยิ้มก่อนจะตอบว่า "ถ้ามันสงสัย ก็แค่ทำให้มันเงียบไปซะ หรือไม่ก็บอกว่าเราเก็บของเรามาเอง ใครมันจะไปพิสูจน์ได้!" --- ผลของความโลภ ครอบครัวคำเดชร่ำรวยขึ้นทุกปี ขณะที่ชาวบ้านบางคนเริ่มขัดสนเพราะข้าวที่เก็บไว้หายไปอย่างลึกลับ บางคนถึงกับต้องขายวัวขายควายเพื่อเอาเงินไปซื้อข้าวมากินแทนที่จะเก็บไว้ขาย แต่ไม่มีใครกล้ากล่าวโทษครอบครัวคำเดช เพราะพวกเขาเจ้าเล่ห์และรู้จักปกปิดร่องรอยเสมอ ทว่าความโลภของพวกเขายังคงเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ และพวกเขาไม่เคยคิดว่ากรรมจะตามสนองพวกเขาในสักวันหนึ่ง... นิทานเวรกรรมของครอบครัวขโมยข้าว ตอนที่ 2: ความสงสัยของชาวบ้าน ยามสายของวันหนึ่ง ในศาลากลางหมู่บ้าน ชาวนาในหมู่บ้านต่างพากันมารวมตัวกัน สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความเครียดและความไม่สบายใจ "ข้าวเปลือกของข้าหายไปอีกแล้ว!" ลุงมั่นตบเข่าดังปัง สีหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง "นี่มันครั้งที่สามของข้าแล้วนะเว้ย! พวกเจ้าว่าใครมันมาขโมยกันแน่วะ?" "ของข้าก็หายเหมือนกัน" ป้าศรีถอนหายใจยาว "ข้าเก็บข้าวไว้ใกล้บ้านแท้ ๆ แต่พอตื่นเช้ามาก็หายไปเป็นกระสอบ ๆ นี่มันไม่ใช่โจรธรรมดาแล้วนะ" เสียงฮือฮาดังขึ้นจากชาวบ้าน ทุกคนล้วนเคยประสบปัญหาเดียวกัน คือข้าวเปลือกในยุ้งฉางของตนหายไปทีละเล็กทีละน้อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนสังเกตเห็นเหมือนกัน… "แต่เอ๊ะ… พวกเจ้าสังเกตไหมว่าข้าวของบ้านไหนไม่เคยหายเลย?" ลุงแป้นพูดขึ้นมาลอย ๆ พลางเหลือบมองไปทางท้ายหมู่บ้าน ชาวบ้านเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ยายคำจะขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงเบาแต่ชัดเจน "ก็… บ้านตาคำเดชน่ะสิ ข้าสังเกตมาหลายปีแล้ว ไม่เคยได้ยินว่าบ้านมันเดือดร้อนเรื่องข้าวหายเลย" เสียงกระซิบกระซาบเริ่มดังขึ้น บางคนพยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่บางคนกลับมีสีหน้าลำบากใจ "พวกเจ้าจะบ้าหรือไง! จะมากล่าวหาตาคำเดชได้ยังไง เขาก็เป็นชาวนาเหมือนพวกเรา อีกอย่าง เขามีลูกชายตั้งสองคน ใครมันจะกล้าไปขโมยข้าวจากบ้านนั้นล่ะ?" ลุงบุญที่นั่งเงียบมานานพูดขึ้น "ก็จริงนะ" ป้าศรีพยักหน้า "เปรื่องกับเพิ่มตัวโตใช่เล่น ถ้าใครคิดจะขโมยข้าวบ้านนั้นจริง ๆ คงโดนต่อยหน้าหงายก่อนจะได้อะไรกลับไป" "แต่มันก็แปลกเกินไปไหมล่ะ?" ลุงแป้นแย้ง "บ้านเรือนแทบทุกหลังโดนขโมยข้าวกันหมด แต่บ้านตาคำเดชไม่เคยหายสักกระสอบ เจ้าจะให้ข้าเชื่อว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือไง?" ชาวบ้านบางคนเริ่มลังเล บ้างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับลุงแป้น บ้างก็ยังไม่อยากเชื่อ "ข้าวเปลือกมันไม่ได้เดินหายไปเองหรอกโว้ย!" ลุงมั่นกระแทกเสียงดัง "ถ้าพวกเรายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ อีกไม่นานข้าวในหมู่บ้านเราคงหมดกันหมดแน่" "แล้วพวกเจ้าจะเอายังไง?" ป้าศรีถามเสียงเครียด "ถ้าสงสัยบ้านตาคำเดชจริง ๆ ก็ต้องหาหลักฐานให้ได้ก่อน จะไปกล่าวหาลอย ๆ ไม่ได้หรอก" "ใช่" ลุงบุญพยักหน้าเห็นด้วย "พวกเราก็ไม่รู้แน่ชัดนี่ว่าใครเป็นคนทำ บางทีอาจเป็นพวกขโมยจากหมู่บ้านอื่นก็ได้" แต่ลุงแป้นยังไม่คลายความสงสัย "งั้นเรามาหาทางจับตาดูกันหน่อยดีไหม? ข้าจะลองเฝ้าดูเองว่าข้าวมันหายไปตอนไหน แล้วถ้าเจอหลักฐานว่าใครเป็นคนทำ ข้าจะเอามาบอกพวกเจ้าเอง!" เสียงพูดคุยเถียงกันดังไปทั่วศาลากลางหมู่บ้าน มีทั้งคนที่เห็นด้วยและคนที่ยังลังเล แต่มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน… ความสงสัยได้ถูกจุดขึ้นแล้ว และไม่ว่าเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร ดูเหมือนว่า ครอบครัวของตาคำเดชจะเริ่มถูกจับตามองมากขึ้นทุกที ( โปรดติดตามตอนต่อไป )