У нас вы можете посмотреть бесплатно "ทำไมคนเราจึงต้องเกิดแก่เจ็บตาย" (ปฏิจจสมุปบาท-สายดับ) บรรยายวันที่สอง (วันสุดท้าย) 25/8/62 или скачать в максимальном доступном качестве, видео которое было загружено на ютуб. Для загрузки выберите вариант из формы ниже:
Если кнопки скачивания не
загрузились
НАЖМИТЕ ЗДЕСЬ или обновите страницу
Если возникают проблемы со скачиванием видео, пожалуйста напишите в поддержку по адресу внизу
страницы.
Спасибо за использование сервиса ClipSaver.ru
บรรยาย ณ สมาคมพุทธบริษัทไทย-จีนประชา (中華佛學研究社—ตงฮั้ว) 25/8/62 / zhonghuafojiaoyanjiushe เนื้อหาโดยย่อ วิมุตติสุข ทุกข์ในอริยสัจ ตรงกับ ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ ในปฏิจจสมุปบาท สมุทัยในอริยสัจ ตรงกับ ตัณหา ในปฏิจจสมุปบาท อาสวะ (เชื้อกิเลสที่สะสม) นิโรธ (ดับ)ในอริยสัจ ตรงกับ ดับอวิชชา (ความรู้ไม่จริง) ในปฏิจจสมุปบาท นั่นคือ ความไม่รู้ในความจริงในธรรมชาติ คือ อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้, มีการเปลี่ยนแปลงตลอด) และอนัตตา (ไม่มีตัวตนแท้ๆ) ทฤษฎีสัมพัทธภาพ (The Law of Relativity) การจะทราบค่าสิ่งใดต้องมีการ"เปรียบเทียบ"กับอีกสิ่งหนึ่ง "มีตัวตน" ในสมมติสัจจะ(โลกียธรรม) แต่"ไม่มีตัวตน" ในปรมัตถสัจจะ(โลกุตตรธรรม) และอยู่ที่เดียวกัน เพียงแต่ไม่ได้แสดงอาการพร้อมกัน ดังนั้น อวิชชากับวิชชาก็อยู่ที่เดียวกัน วิชชา คือ ความรู้จริง รู้ว่าสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อวิชชาปรากฏ อวิชชาก็ดับ ก็จะดับทุกข์ นั่นคือ "นิโรธ" ความรู้ไม่จริง(อวิชชา) จึงเกิดการปรุงแต่ง(สังขาร) ก็จะทำให้มีการกระทำ(กรรม) ส่วนพระอรหันต์ทำกรรมแต่ไม่มีวิบาก เพราะพระอรหันต์ไม่มีเจตนา เจตนา=กรรม=ความตั้งใจ-หวังผลการกระทำ "สังขาร"ในปฏิจจสมุปบาท ก็คือ กรรม พระอรหันต์ไม่มีเจตนาแต่ทำตาม"หน้าที่" กรรมที่มีอวิชชาครอบงำนำไปสู่ทุกข์ ถ้าไม่มีก็ไม่ทุกข์ อริยมรรคมีองค์ 8 ในอริยสัจ เป็นวิธีการนำไปสู่การดับอวิชชานั่นคือดับทุกข์ มีครบทั้งศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา เป็นการเห็นความเข้าใจสรรพสิ่งตามความเป็นจริง นำไปสู่... ศรัทธา คำสอนจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ปราโมทย์ ยินดีทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ปีติ ความอิ่มเอิบใจที่ได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ปัสสัทธิ ความสงบ ความเบากายเบาใจ สุข ไม่ใช่สุขเวทนาซึ่งต้องมีสิ่งล่อ สมาธิ ไม่ฟุังซ่าน ไม่ซัดส่าย ไม่ตามใจตัวเอง ไม่วอกแวก ยถาภูตญาณทัศนะ เข้าใจทุกสรรพสิ่งตามความเป็นจริง ในอนัตตลักขณสูตร กล่าวว่า ขันธ์ 5(รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน บังคับบัญชาไม่ได้ นิพพิทา เบื่อหน่ายในขันธ์ 5 วิราคะ หมดความกระหายอยาก วิมุตติ หลุดพ้น อาสวักขยญาณ คือ ญาณรู้แจ้งกำจัดสิ่งหมักหมม(กิเลสสะสม)ในจิต นิพพาน ดับทุกข์ การมีศรัทธาได้ ต้องมี ศีล, ปรโตโฆสะ(ได้ยินได้ฟังธรรมมามาก), โยนิโสมนสิการ(กำหนดในใจโดยแยบคายคือกำหนดในสิ่งที่ถูกต้องว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ), กัลยาณมิตร(เพื่อนทางธรรม) ตั้งเป้าหมายสูงสุดไว้ก่อน คือ นิพพาน วิปัสสนาภูมิ 6 (ที่ตั้งแห่งการรู้แจ้ง): ขันธ์ 5, อายตนะ 12, ธาตุ 18, อินทรีย์ 25, ปฏิจจสมุปบาท 12, อริยสัจ 4 สวรรค์ เป็นสถานที่แห่งความสุข ทำให้เทพบ้าตัณหา จึงทำให้ไม่รู้ความจริง เมื่อหมดบุญก็ต้องไปเกิดใหม่ซึ่งอาจไปภพภูมิที่ต่ำกว่า โอกาสนิพพานจึงน้อยมาก เหตุปัจจัยไปสวรรค์: สร้างบุญสร้างกุศล รักษาศีล 5 พรหม ต้องทำสมาธิระดับฌาน นิ่งสงบอย่างเดียว ขาดโอกาสเห็นแจ้ง นิพพาน ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้นจึงจะสำเร็จ สวรรค์แต่ละชั้นมีคลื่นความถี่พลังงานเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่อาจรู้ว่ารู้จริงหรือไม่เพราะไม่มีการเปรียบเทียบ ดังนั้น พระพุทธเจ้าเกิดในโลกมนุษย์ จึงเข้าใจในทุกคลื่นความถี่ การเกิดเป็นมนุษย์ยากมาก สังสารวัฏฏ์ กับ นิพพาน คือสิ่งเดียวกัน (อาศัยสังสารวัฏฏ์ไปสู่นิพพาน) นั่นคือ ศึกษาเรื่องทางโลกๆ(โลกียะ)ให้ทะลุถ่องแท้ การเข้าถึงโลกุตตระจะเป็นโดยอัตโนมัติ ทุกข์ ให้กำหนดรู้ สมุทัย ให้ละ นิโรธ ทำให้แจ้ง ในโลกียะและโลกุตตระตามความเป็นจริง มรรค ทำให้เจริญ นิพพาน เป็นโลกุตตรธรรม (ธรรมเหนือโลก) เมื่อไปถึงแล้วย่อมรู้ได้เองเฉพาะตน (ปัจจัตตัง)